ดูแล้วมานั่งคิด EP 3 : Wicked

ดูแล้วมานั่งคิด EP 3 : Wicked

ผมว่า Wicked: For Good ให้อารมณ์ต่างไปจาก Wicked ภาคแรกพอสมควร แต่มันกลับแฝงข้อคิดและสิ่งเตือนใจได้ลุ่มลึกกว่า เนื้อหาต่อจากนี้จะมีการสปอย Wicked ทั้งสองภาค หากคุณยังไม่ได้รับชมแล้วไม่อยากพลาดอรรถรสในการตีความเอง สามารถเลื่อนผ่านก่อนได้นะครับ เอาล่ะ สำหรับใครที่สามารถอ่านสปอยได้เกาะขอบจอให้ดี เพราะเราจะเริ่มใน 3 2 1 ไป . . . Wicked ทั้ง 2 ภาคเป็นภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงมาจากนิยายและละครเวทีในชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งทำลายภาพจำของความดีกับความชั่วที่มักจะปรากฏในหนังเรื่องอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น Ant-Man: Quantumania ที่ระบุไปเลยว่าภาพลักษณ์ของคนดีกับคนชั่วต้องเป็นอย่างไร ผิดกับเรื่องนี้ที่แสดงให้เห็นแล้วปล่อยให้การตีควาเมป็นเรื่องของผู้ชม สมัยผมเรียนปรัชญาวรรณกรรม อาจารย์เคยให้อ่านนวนิยาย The Wizard of Oz ซึ่งเป็นนวนิยายสำหรับเด็กอเมริกันที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ การเอาชนะความกลัว และคุณค่าของการกลับบ้าน ผ่านตัวละครเด็กสาวโดโรธีที่ซวยเหลือหลายโดนพายุงวงช้างพัดไปตกที่โลกของออซ จนกลายเป็นหนังสือคลาสสิคขึ้นหิ้งระดับตำนาน ผมเคยเขียนส่งโดยวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์ผ่านโครงสร้างเนื้อเรื่อง ตัวละคร และเหตุการณ์ต่างๆ ส่งอาจารย์ไป แน่นอนว่าไฟล์นั้นหายสาบสูญไปพร้อมกับโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าแล้ว มันเลยเป็นการสอนผมกลายๆ ว่าความตายไม่ได้เอาใครไป มันแค่สอนบางอย่างให้เรา นั่นก็คือหัดโหลดไฟล์ลงออนไลน์ไว้ซะนะ ขณะเดียวกันเมื่อพูดถึงฉบับนิยายแล้วจะไม่พูดถึง The Wizard of Oz ฉบับภาพยนตร์เห็นทีคงจะผิดน่าดู มันเกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูของฮอลลีวูดเมื่อปี 1939 แถมยังถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีฉายออกจอทีวีในรูปแบบสีด้วย ฉะนั้นมันจึงเป็นการคร่าภาพจำแบบเดิมในยุคนั้นว่าสื่อต่างๆ ที่ฉายผ่านจอแก้วจะต้องเป็นแบบขาวดำเท่านั้นไปตลอดกาล นับว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคนิคยุคสมัยใหม่ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต ผมมองว่าประเด็นนี้ก็เข้าข่ายควรค่าแก่การเชื่อมโยงเข้ากับหัวข้อเช่นกัน หากเทียบว่าการมาของ The Wizard of Oz ทำให้เทคนิคยุคเก่าตายลง แน่นอนว่าผู้คนสมัยนั้นยังไม่ค่อยยอมรับกันมากนัก แต่ขณะเดียวกันมันก็เปิดทางไปสู่สิ่งใหม่ เปิดวิสัยทัศน์ให้กับวงการฮอลลีวูดที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่ผมกล่าวไปข้างต้น The Wizard of Oz ฉบับหนังไม่เพียงแต่ทิ้งเทคนิคไว้กับผู้ชมหรือผู้สร้างหนังเท่านั้น แต่ยังสร้างภาพจำว่า ‘ความดี-ความชั่วร้าย’ ควรมี ‘หน้าตาและรูปร่าง’ แบบใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่มดชั่วร้ายซึ่งต้องสวมหมวกแหลมทรงสูง จมูกยาวงองุ้ม แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า และหัวเราะอย่างชั่วร้ายเวลาพูดหรือกระทำสิ่งใดเป็นไปตามใจ (แบบที่พวกตัวร้ายในละครไทยทำกันบ่อยๆ) ตรงกันข้ามกับความดีที่จะมีรูปโฉมงดงามดุจเทพี มีความอ่อนหวาน ดูใสซื่อ น่ารักไม่ต่างจากตุ๊กตา ต้องเป็นที่รักของทุกคน ไปทางไหนก็สร้างแต่ความสุขและรอยยิ้ม มีผิวขาวละเอียด ผมสีทอง มาในชุดสีชมพูฟูฟ่องและดูทรงสง่าประหนึ่งเจ้าหญิง กิริยามารยาทเองล้วนอ่อนช้อยน่าชม พูดจาหวานเสนาะหู และคอยช่วยเหลือผู้คนดำรงตนอยู่ในศีลธรรมที่สังคมกำหนดขึ้นมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ช่วยกล่อมเกลาผู้ชมให้รู้สึกคล้อยตามไปแบบนั้นก็คือโดโรธี ที่หลังจากเจอกับกลินดาผู้แสนดีแล้วก็มีความฝันอยากอาศัยอยู่ในดินแดนสวยงาม ไม่อยากเป็นชาวไร่ใช้แรงงานไปวันๆ และใฝ่ฝันถึงชีวิตที่อยู่เลยสายรุ้งแสนสวยและหมู่เมฆก้อนโตไป ทั้งที่เธอไม่เคยเห็นและฟังมาเท่านั้น ทว่ากลับปักใจเชื่อว่ามันย่อมดีกว่าสถานที่ที่จากมา คล้ายกับแนวคิด American Dream ที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อให้อเมริกันชนเชื่อว่ามันคือชีวิตที่ดี มีความสุข โดยฉายแต่ภาพสวยงามราวกับความฝันไปสู่ผู้ชมหน้าจอ เพื่อกล่อมเกลาให้ผู้คนหลีกหนีจากโลกความจริงอันโหดร้ายที่เต็มไปด้วยสงคราม โรคร้าย ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฯลฯ ฉะนั้นภาพยนตร์และนิยายแฟนตาซีจึงได้รับความนิยมเรื่อยมาเมื่อมนุษย์อยากจะหนีจากโลกของตนไปสู่โลกอื่น ต่อให้มันจะเลวร้ายไม่ต่างกัน เช่น Narnia, Alice in wonderland ฯลฯ ทุกคนล้วนใฝ่ฝันได้เป็นอย่างโดโรธี ผจญภัยอย่างผู้มีความสลักสำคัญ เป็นดั่งผู้กอบกู้ มีคนคอยช่วยนำทางและบอกว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เดินไปตามถนนสายสีเหลืองมุ่งตรงสู่พระราชวังออซซึ่งเป็นความหวังของปวงชนชาวออซ เฉกเช่นเดียวกับเอลฟาบา เด็กสาวผิวขาวผู้เชื่อมั่นว่า ณ ที่แห่งนั้นเธอจะได้พบกับคำตอบที่ตามหา ได้พบกับปาฏิหาริย์ที่จะช่วยเธอจากโลกอันโหดร้ายนี้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยอ่านนิยาย Wicked มาก่อน ตอนเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หวังแค่อยากดู Ariana Grande ในประสาคนที่เป็นแฟนคลับเธอก็เท่านั้น กระทั่งดูจบออกมาแล้วนั่งสะระตะถึงได้รู้ว่าผมได้อะไรมากกว่าแค่ความรู้สึกที่ว่า ‘ดีจังที่ได้มาดูคนที่ตัวเองชอบเล่นหนัง’ พอกลับมาถึงห้องผมก็เปิดหาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หานิยายมานั่งอ่านเพื่อดูว่ามีส่วนใดตรงหรือไม่ตรงกับในภาพยนตร์บ้าง ซึ่งมันก็เยอะมาก (555555) แต่เอาเป็นว่าผมจะสรุปออกมาสั้นๆ เพื่อไม่ให้บทความนี้ยืดเยื้อเกินไป การตายของแม่มดแห่งทิศตะวันตก (หรืออีกนัยก็คือเอลฟาบา) สร้าง ‘ความสุข’ ให้แก่ปวงชนชาวออซดั่งที่พ่อมดแห่งออซเคยกล่าวเอาไว้ กลินดาเป็นคนขี่บอลลูนมาบอกชาวมัชกินแลนด์ด้วยตัวเอง ฉะนั้นใครเล่าจะไม่เชื่อหญิงสาวผู้แสนดีที่เป็นขั้วตรงข้ามกับแม่มดผู้ชั่วร้ายนั่นโดยสิ้นเชิง จนเด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นว่าเธอเคยเป็นเพื่อนกับแม่มดแห่งทิศตะวันตกใช่หรือไม่ หญิงสาวตอบตามจริงและเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของคนที่โดนมองว่าชั่วร้ายมาตลอด และเราจะได้เห็นตลอดทั้งภาค 1 และภาค 2 ว่ากลินดาผู้แสนดีเรียนรู้อะไรจากความตายของเพื่อนสนิทคนนี้บ้าง แน่นอนว่าเนื้อหาที่ผู้ชมได้รับรู้แตกต่างกับที่ชาวมัชกินแลนด์รู้จากกลินดา เอลฟาบาเกิดขึ้นมาจากแม่และชู้ที่แวะมาสนุกกันทุกคืน แม่ของเธอดื่มเครื่องดื่มจากขวดสีเขียวเข้มและไม่นานก็ตั้งครรภ์และคลอดเธอออกมา ตัวสีเขียวน่าเกลียดน่ากลัวอย่างไม่มีทฤษฎีใดให้คำตอบได้ จึงเป็นต้นเหตุให้พ่อไม่แท้ของเธอรังเกียจ จากนั้นไม่นานแม่ของเธอก็ให้กำเนิดน้องสาวของเธอซึ่งมีขาพิการ แล้วเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา เด็กสาวตัวเขียวต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความเกลียดชังของบิดาที่เชื่อหมดใจว่าเป็นพ่อของตน กระทั่งได้รู้ความจริงว่าไม่ใช่ ของต่างหน้าที่แม่ทิ้งไว้ก็คือขวดสีเขียวเข้มและบอกว่ามันคือสิ่งเดียวที่พ่อแท้ๆ ของเธอทิ้งไว้ให้ เมื่อโตเป็นวัยรุ่นเธอก็มาส่งน้องเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์ ได้เจอกับกลินดาผู้แสนดี เป็นที่รักใคร่ของผู้คนแต่สำหรับเธอแล้วกลับมองว่ายัยนี่ไม่บ้าก็เพี้ยน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนเอลฟาบาต้องใช้พลังช่วยน้องสาวเอาไว้ พลังไปเตะตาของมาดามมอริเบิล จนได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักเรียนของวิทยาลัย ได้รับการสอนโดยตรงจากมาดามจนทำกลินดาอิจฉา จึงหาทางแกล้งเธอทั้งตอนอาศัยอยู่ร่วมห้อง ตอนเรียนวิชาเดียวกัน กลินดาผู้แสนดีกลายเป็นเด็กผิวขาวผมบลอนด์ที่มักเป็นหัวโจกตามโรงเรียน มีลูกหาบมากมายรายล้อม และบูลลี่กระทั่งอาจารย์ซึ่งเป็นแพะเพียงเพราะเขาออกเสียงชื่อเธอไม่ถูกจึงนำไปสู่ความอับอาย นี่เป็นจุดแรกๆ ที่ทำให้ผู้ชมต้องตระหนักแล้วว่า ตกลงยัยนี่เหมาะสมกับคำว่า the GOOD ที่ห้อยท้ายชื่อจริงหรือเปล่า จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปจนถึงงานเลี้ยงที่เจ้าชายฟิเยโรแอบจัดขึ้น เอลฟาบาไปร่วมงานและรู้แล้วว่าโดนกลินดาแกล้ง เธอจึงลงไปเต้นรำคนเดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คนที่รายล้อม แม้แต่น้องสาวของเธอยังรังเกียจพี่สาวตัวเองเลย ยกเว้นก็แต่กลินดาที่เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองทำเกินไป สายตา แววตา และสีหน้าที่เจ็บปวดเกินกว่าจะกล่าวนั่นกระตุกความดีลึกๆ ในใจเธอให้เริ่มตั้งคำถาม และเข้าไปเต้นกับเอลฟาบา ซึ่งเป็นฉากที่ทำคนทั้งโรงน้ำตาแตก ฉากสั้นๆ อันทรงพลังที่ผมกล้าบอกเลยว่าปีนั้นไม่น่าหาได้อีกแล้ว หลังจากทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันกลินดาก็ยังคงเป็นกลินดา แต่ลดความร้ายลงมา ยกเว้นก็แต่ตอนที่เอลฟาบารู้ว่าพวกสัตว์กำลังถูกผลักให้กลับไปเป็นเพียงแค่สัตว์ ห้ามพูด และต้องรับใช้มนุษย์เท่านั้น อ.คนสำคัญของเธอโดนจับไปขังลืมไม่พอ ยังมีลูกสิงโตโดนจับใส่กรงเพื่อเป็นตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่ามันก็แค่สัตว์ ผู้คุมใช้แส้ตีกรงย้ำๆ สร้างความกลัวให้ลูกสิงโตจนเด็กสาวผิวเขียวทนไม่ไหว เผลอร่ายมนตร์ให้ทั้งห้องหลับยกเว้นก็แต่เจ้าชายฟิเยโรที่เธอมีใจให้ ทั้งสองพาลูกสิงโตไปปล่อย แต่มันกลัวโลกกว้างเกินกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตในป่าได้ ประหนึ่งหนังกำลังจะเปรียบเทียบกับพวกสัตว์ในสวนสัตว์ที่เติบโตมาในนี้จนสัญชาตญาณหายไป ฉะนั้นความสงสารบางทีอาจมาพร้อมการไม่เข้าใจมุมมองและสภาพแวดล้อมของสิ่งนั้นหรือเปล่า เนื้อเรื่องเล่นไปจนถึงตอนใกล้จบที่เอลฟาบารู้แล้วว่าพ่อมดแห่งออซใช้เล่ห์กลหลอกลวง เขาไม่ใช่ผู้กอบกู้พอๆ กับไม่ใช่ผู้มอบปาฏิหาริย์ใด หนำซ้ำยังปกครองแบบเผด็จการและไล่คนกลุ่มหนึ่งไปอยู่ชายขอบเพียงเพราะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเหยียดผิว เชื้อชาติที่ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จากนั้น Wicked ภาค 2 ก็เข้าฉายพร้อมฉากที่เอลฟาบาพยายามช่วยสรรพสัตว์และขอให้พวกเขาเข้าร่วมต่อต้านพ่อมดออซกับเธอ แต่พวกเขาก็เลือกจะจากไปเพราะบ้านที่เคยเป็นบ้านมันไม่ใช่บ้านอีกต่อไป ตัดสินใจอพยพไปอยู่ที่อื่นที่พอจะตามหาชีวิตใหม่ได้ดีกว่า จนผมนึกถึงการอพยพไปยังทวีปใหม่ของชนชั้นกลางในยุโรปเมื่อหลายศตวรรษก่อน จนสร้างประเทศขึ้นมาแล้วตั้งชื่อว่าสหรัฐอเมริกา ฟากกลินดาก็พยายามประนีประนอมระหว่างเพื่อนกับพ่อมดออซให้ลดราวาศอกกันหน่อย เห็นแก่เธอที่เป็นเจ้าสาวซึ่งหลอกตัวเองให้ฝันหวานไปวันๆ ว่าเจ้าบ่าวคนนี้รักเธอสุดหัวใจ ทั้งที่รู้มาตลอดว่าในสายตาของเขามีเพียงเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้น งานแต่งของเธอล่มไม่เป็นท่าเมื่อเอลฟาบารู้ว่าพ่อมดชั่วช้ากว่าที่เธอจะยอมอ่อนข้อให้ได้ และเจ้าชายฟิเยโรก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางเดียวกับเธอ ทิ้งกลินดาให้เจ็บปวดและโกรธแค้น ถึงขนาดบอกว่าให้ใช้น้องสาวของเอลฟาบาเป็นตัวล่อเธอออกมา ยังไงก็ตาม มาดามมอริเบิลกลับเล่นแรงกว่านั้น เธอเรียกพายุงวงช้างแล้วดึงบ้านของโดโรธีลงมาทับตัวน้องสาวของเอลฟาบา ความตายนี้ทำให้กลินดาเสียใจมาก เอลฟาบาเองก็ไม่ต่างกัน แต่นั่นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับการที่พวกทหารจับฟิเยโรไปทรมาน เอลฟาบากลับไปยังฐานที่มั่นและร่ายมนตร์ขอให้เขายังมีชีวิตรอด ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องสูญเสียเนื้อหนัง สุดท้ายเขาก็กลายเป็นหุ่นไล่กาที่จะผจญภัยไปกับเด็กสาวจากต่างโลกจนมาสังหารเธอลง น่าเสียดายที่หนังไม่ได้โฟกัสตัวโดโรธีถึงขนาดหน้าของนักแสดงยังไม่ให้เห็น นอกจากเด็กสาวที่ดูเหมือนอลิซในแดนมหัศจรรย์แล้ว ก็มีหุ่นไล่กาที่ในเรื่องนี้คือเจ้าชายฟิเยโร สิงโตที่เอลฟาบาเคยช่วยไว้ และหุ่นดีบุกที่โดนน้องสาวของเอลฟาบาร่ายมนตร์ใส่ให้หัวใจของเขาเป็นของเธอคนเดียว แต่ด้วยการออกเสียงผิด สำเนียงไม่ได้ หรืออะไรก็ตาม ทำให้หัวใจของเขาหดเล็กลงจนแทบสิ้นชีวิต เอลฟาบาจึงร่ายมนตร์อื่นแก้ซึ่งจบที่ทั้งร่างและหัวใจกลายเป็นดีบุก ความแค้นนั้นผลักให้เขาร่วมเดินทางกับโดโรธีมาสังหารเอลฟาบา ขณะเดียวกันกลินดาที่รู้จากเอลฟาบาว่า จังหวะของพายุงวงช้างมันช่างเหมาะเจาะที่จะพัดบ้านหลังหนึ่งมาตกทับน้องสาวของเธอเหลือเกิน แน่ใจหรือที่เธอจะเชื่อต่อไปว่ามันคืออุบัติเหตุ หญิงสาวผิวขาว ผมบลอนด์ที่มักโดนมองว่าเป็นพวกคนโง่ บ้าผู้ชาย และชอบเรียกร้องความสนใจฉุกคิดกับตัวเอง ยิ่งเห็นว่าโดโรธีโดนกล่อมเกลาให้เชื่อแบบเดียวกับที่เธอเชื่อ เธอจึงไปถามความจริงจากมาดามมอริเบิลซึ่งไม่เคยเห็นหัวเธอแต่แรก และใช่ ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเห็นหัวใครนอกจากคนที่จะเป็นหมากในการพาเธอไปสู่จุดหมายได้ พอใช้การไม่ได้ก็เขี่ยทิ้ง กลินดาออกไปพบเอลฟาบา ณ ที่ซ่อนและขอให้กลับไปแฉพ่อมดออซด้วยกัน แต่เอลฟาบาบอกว่าเธอมาไกลเกินกว่าจะกลับได้แล้ว ตัวตนของพวกเธอเปลี่ยนแปลงไปราวกับเกิดใหม่ก็ตอนได้มาเป็นเพื่อนกันนี่แหละ เอลฟาบาขอให้กลินดาซ่อนตัวและรับคัมภีร์ฉบับสำคัญของดินแดนแห่งออซไป สาวผมบลอนด์บอกว่าเธอร่ายเวทมนตร์ไม่เป็น ไม่มีพลังเหมือนเอลฟาบา ก็เลยโดนตอบกลับว่า 'งั้นก็ฝึกสิ' ตอนดูมาถึงตรงนี้ผมแทบหลุดขำ เออว่ะ ก่อนจะปฏิเสธทำไมไม่ลองดูก่อน หลายครั้งเลยที่เรามักเลือกไม่ทำเพราะเชื่อว่าเราทำไม่ได้ ทั้งที่กลินดาดูเป็นคนมั่นใจในทุกอย่าง มีแค่เรื่องใช้เวทมนตร์ไม่ได้นี่แหละที่มักทำให้เธอใจฝ่อตลอด อาจจะเพราะดินแดนแห่งนี้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนี้เหนือเรื่องใดล่ะมั้ง จากนั้นกลินดาก็เข้าไปซ่อนและเห็นเอลฟาบาโดนโดโรธีสาดน้ำใส่ ละลายหายไปเหลือแค่ถังน้ำ หมวกแหลมทรงสูง และขวดสีเขียวของดูต่างหน้าพ่อของแม่มดผู้ชั่วร้าย สาวผมบลอนด์กลับไปหาพ่อมดด้วยรู้ดีว่าขวดนี้มันเป็นของใคร เธอเห็นเขาดื่มมันบ่อยเกินกว่าจะปฏิเสธได้ลง จากนั้นพ่อมดออซก็รู้แล้วว่าตัวเองทำเรื่องบาปมหันตร์ลงไป เนื่องจากรับไม่ได้เลยตัดสินใจขึ้นบอลลูนกลับโลกตัวเอง ทิ้งความโหดร้ายไว้ที่โลกนี้ทั้งที่ตัวเองพยายามสร้างขึ้นมาแทบตาย ผมว่านี่มันสุดจะมนุษย์เลย เมื่อรับความผิดหวังหรือตัวตนของตัวเองไม่ได้ก็พร้อมจะหนีไปที่อื่น ซึ่งเราจะเห็นมาก่อนแล้วในตัวกลินดาที่ตอนแรกชื่อกาลินดา แต่พอคนเริ่มเรียกร้องความเท่าเทียมและเห็นด้วยกับเจ้าชายฟิเยโรเรื่องการออกเสียงของอ.แพะ เธอก็เปลี่ยนชื่อเป็นกลินดาเอาใจเขา ทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกแบบนั้น หนีจากตัวตนและต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม คล้ายกับฟองสบู่ที่ปกป้องเธอจากโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้เพลงประจำตัวเธอในภาคนี้เลยชื่อ the girl in the bubble ที่พอฟองหนึ่งระเบิดไปก็สร้างฟองใหม่ขึ้นมาปกป้องตัวเอง เล่นไปตามบทที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบ ไม่ได้อิน ผิดกันกลับตอนอยู่กับเอลฟาบาที่ได้เป็นตัวของตัวเอง มีคนที่เข้าใจเธออย่างถ่องแท้ แค่ว่าตอนนี้เพื่อนแท้ในชีวิตของเธอเพียงคนเดียวไม่อยู่แล้ว ชายผู้เป็นที่รักก็ตายไปก่อนหน้า ซึ่ง...ผมก็คิดแบบนั้น จนหนังฉายว่ามันเป็นทริคของเอลฟาบากับหุ่นไล่กาฟิเยโร หลังเรื่องทุกอย่างจบลงเขามาเปิดประตูที่ซ่อนคนรักไว้ แล้วบทสนทนาก็ไปในเชิงว่าเขาเหมือนได้เกิดใหม่ ได้ปลดวางจากทุกเรื่อง ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ที่ก็ไม่ได้ปลื้มแต่แรก ตำแหน่งเจ้าชายที่ไม่ได้เลือก ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามขนบ มีคนกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้ ส่วนเอลฟาบาก็หลอกทุกคนได้ว่าแม่มดผู้ชั่วร้ายแห่งทิศตะวันตกตายไปแล้ว เหลือแค่เธอที่จะได้เป็นตัวเธอจริงๆ เสียที แผนที่หลอกให้กลินดามาเห็นฉากการตายของตัวเองก็เพื่อใช้เป็นกระบอกเสียงยืนยันกับผู้อื่น จะได้ไม่ต้องมีใครมาตามหาตัวเธออีก แถมยกการปกครองดินแดนนี้ไปให้กับเพื่อนที่เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองควรทำอะไรจริงๆ เสียที ในอีกนัยหนึ่งก็คือเธอเหมือนช่วยสร้าง Glinda the Good ให้เป็นไปตามนั้น ผมรู้ว่ากลินดาอยากเป็นคนที่ดีขึ้นจริงๆ แต่จากตลอดทั้งเรื่องผมว่าเธอน่าสงสารเหลือเกิน ทั้งที่คนอื่นได้ไปเริ่มต้นใหม่ มีอิสระ อย่างน้อยก็เอลฟาบาและเจ้าชายฟิเยโร ทั้งสองน่าจะเข้าใจดีว่าสิ่งที่กลินดาต้องเจอจะเต็มไปด้วยอุปสรรคแค่ไหน หญิงสาวที่เติบโตมาด้วยการสวมบทบาท ใสซื่อ และโดนหลอกว่าสูญเสียคนที่รักไปถึงสองคน... ไม่อยากคิดเลยว่าจะแบกรับความสูญเสียนี้ไว้ได้ยังไง แม้มันจะเป็นการสอนให้สาวผมบลอนด์รู้ถึงโลกความเป็นจริงนอกฟองสบู่ก็ตาม ผมว่านี่แหละคือความชั่วร้ายที่สุดแล้วของเอลฟาบา และเธอก็รู้ดีเลยเศร้ามากๆ ที่ต้องหลอกเพื่อนสนิทที่เชื่อใจได้ที่สุดคนนี้ กลินดาเองก็เหมือนได้เกิดใหม่ เธอตัดสินใจปกครองดินแดนแห่งออซด้วยความดี แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ แต่เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงาม เป็นดั่งยูโทเปียของทุกสรรพชีวิต ถ้าถามว่าความตายในเรื่องนี้ให้บทเรียนอะไรกับผม ผมว่ามันเยอะมาก (ก.ไก่ล้านตัว) เลยล่ะ ยิ่งได้มานั่งคิดหลังดูจบแล้วก็ยิ่งเข้าใจความดีความชั่วมากขึ้น เข้าใจแก่นความ woke (ศัพท์ที่คนเอามาใช้กันดาษดื่น) ที่แท้จริงของเรื่อง และมันชัดมากจนผมหวังว่าจะกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักได้ไม่ใช่แค่รับรู้ ขณะเดียวกันมันแปลกมากที่ผมไม่คิดแย้งกับตอนจบที่กลินดาพยายามจะสร้างดินแดนยูโทเปียขึ้นมา อาจเพราะเธอออกปากไว้ก่อนแล้วมั้งว่าอนาคตก็คงมีเรื่องเลวร้ายปรากฏขึ้นมาอีก แต่ถ้าเราเข้าใจแบบไหนคือความดี แบบไหนคือความชั่วร้าย พวกเราก็จะจับมือกันผ่านไปได้ แล้วบทความของเราก็มาถึงตอนจบแล้ว หากคุณคิดว่าการสิ้นสุดคือความตายในรูปแบบหนึ่ง ผมก็หวังว่าเนื้อหาที่คุณอ่านอยู่นี้จะทิ้งบางอย่างไว้ในใจคุณ เหมือนที่เอลฟาบากับกลินดาทิ้งจุดเปลี่ยนแปลงไว้ให้กันและกัน เหมือนที่ The Wizard of Oz และ Wicked ทิ้งบางอย่างไว้ให้พวกเรา ผมสุดจะรักเรื่องนี้เลย!

Author Avatar
TGStark
นักเขียนที่มี passion เล่าเรื่องมากมาย เพราะคนไทยแปลว่าไปเรื่อย

0 ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น

เรื่องราวที่คุณอาจสนใจ